Bitcoin ไม่ใช่ Blockchain แล้ว Coin กับ Token ต่างกันอย่างไร?

โพสต์บทความนี้จะมาเล่าพื้นฐานเกี่ยวกับ Blockchain และ Bitcoin รวมถึง Digital Asset Exchaing และกระเป๋าเก็บเหรียญคริปโตครับ เริ่มต้นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า…

Bitcoin ไม่ใช่ Blockchain

Bitcoin คือ digital coin (หรือ digital asset) ส่วน Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เราโอน digital asset จากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งได้ ดังนั้น Bitcoin เป็นนวัตกรรมเหรียญคริปโตแรกที่เกิดจากเทคโนโลยีของ Blockchain

แล้ว Blockchain เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาอะไร?

แก้เรื่องของการโอนเงินได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ ตัวอย่าง หากเรา (A) ต้องการโอนเงินให้เพื่อน (B) ที่อยู่ต่างประเทศ ก็ต้องมีตัวกลาง (centralized) ระหว่างประเทศและเราต้องเสียค่าธรรมเนียมระหว่างการโอนและยังใช้เวลาในการโอนอย่างน้อย 2-3 วัน

แต่เมื่อใช้เทคโนโลยยี Blockchain

  • ไม่ต้องพึ่งพิงตัวกลางในการโอนเงิน (decentralized)
  • ทำค่าธรรมเนียมถูกลง
  • ระยะเวลาในการโอนลดลง

แล้ว Blockchain หลักการทำงานเป็นอย่างไร?

1. Open ledger
ก็คือการเปิดเผยรายการ transaction ทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมการเงินขึ้นบน Blockchain ทำให้ทุก ๆ คนที่อยู่ใน Network สามารถทราบได้ว่าเงินอยู่ที่ไหนบ้างแล้วแต่ละคนมีเงินอยู่เท่าไหร่บ้าง

Transaction ที่จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเชื่อมโยงกับ transaction ก่อนหน้า (เรียกว่า Chain)

2. Decentralized ไม่มีใครเป็นศูนย์กลางในระบบ (ทุกคนครอบครอง Ledger)
ก็คือไม่มีคนใดคนหนึ่งครอบครอง Ledger (สมุดบัญชีธนาคาร) บนระบบ Blockchain เป็นการตัดตัวกลางออกจากระบบโดยให้ทุก ๆ คนเป็นคนครอบครอง Ledger (มี ledger เป็นของตัวเอง) โดยวิธีการนี้เรียกว่า Decentralized

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลที่อยู่ใน Ledger ของแต่ล่ะคนถูกต้อง มีการเชื่อมโยงกัน (Synchronized)

3. Minners มีหน้าที่ในการแข่งขันการตรวจสอบความถูกต้องของ transection ที่เกิดขึ้นในระบบ

หลักการที่ Blockchain ใช้แก้ปัญหานี้คือ ใช้ Minners หรือ Special Node โดยแข่งขันการตรวจสอบ transaction ที่เกิดขึ้น หรือที่เรียกว่า validate transaction และการค้นหา Key / Hash code ที่เชื่อมโยงกับ transaction ก่อนหน้าได้ถูกต้อง (คนแรกที่หาเจอะก็จะได้ Reward ไป เช่น ได้ Bitcoin) ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่า “ขุด Bitcoin” ด้วยเครื่องประมวลผลกำลังสูง ที่ใช้ GPU

เช่น ในระบบมี A,B,C,D
A จะโอนเงินไปให้ D ได้ก็ต่อเมื่อ A ประกาศไปบอกทุกคน (Broadcast) ว่าจะโอนเงินไปยัง A และ minner จะตรวจสอบว่า A มีเงินเหลือพอที่จะโอนไปให้ A ไหม หากไม่พอก็ไม่เกิด transaction แต่หากมีเพียงพอถึงจะเป็น transaction และถูกบันทึนลง Ledger

Minner คนแรกที่หา Key เจอะจำทำการบันทึก transaction ใหม่ลงไปบนของตนเอง และจะ Broadcast ตัว Key ไปยัง Node อื่น ๆ เพื่อไม่ต้องมาเสียเวลาในการหา Key อีกต่อไป โดยสามารถนำ Key ที่ได้ไปใช้ในการตรวจสอบและบันทึก transaction ไปยัง Ledger ของแต่ละ Node ได้เลยครับ

จากที่เล่ามาจะเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain ที่นี่เราจะเข้าสู่ตลาดของเหรียญคริปโต (Crypto Digital Asset) และการเทรดบน Digital Exchange ต่าง ๆ

Coin กับ Token ต่างกันอย่างไร?

credit image: Binance

Coin คือ Crypto digital asset ได้แก่ Bitcoin, Litecoin, Ethereum และ Waves
ส่วน Token คือสิ่งที่สร้างบนแพลตฟอร์มของ Coin อีกที เช่น Token ของ Bianace Coin (BNB) ก็สร้างขึ้นบนระบบแพลตฟอร์มของ Ethereum อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้นหากต้องการโอนเหรียญคริปโตไปยังกระเป๋าของบุคคลอื่นก็ต้องผ่านระบบ Network ของ Ethereum เป็นต้น.

*โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าทำการฝากและถอนต้องอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน (เช่น ERC20, BEP20, TRC20, ฯลฯ) มิฉะนั้นการถอนจะล้มเหลว เนื่องจากเเต่ละเครือข่ายมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น อัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จำนวนการถอนขั้นต่ำ และเวลาในการโอนครับ

แล้วเราจะซื้อเหรียญคริปโต (Crypto Digital Asset) จากไหน? Exchange, Broker, Dealer

credit image: Binance

ปัจจุบันเราสามารถใช้สกุลเงินบาทซื้อเหรียญคริปโตได้แล้วบนผู้ให้บริการ Digital Asset Exchange และยังสามารถ trade ซื้อขาย เหรียญได้ เช่น Satang pro ฯลฯ ดูข้อมูลเพิ่มเติมผู้ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัลได้ที่ SEC

บน Digital Asset Exchange ไม่ได้มีทุกเหรียญที่คุณอยากลงทุน!

แล้วเราจะลงทุนในเหรียญที่ต้องการได้จากไหน ก็หา Digital Asset Exchange ใหม่ครับ เช่น สมัครเทรดที่ Binance ซึ่งเป็น global cryptocurrency exchange ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันสามารถฝากเงิน (Fiat) สกุลเงินได้มากกว่า 21 ประเทศ ได้แก่
Peso (ARS), British Pound (GBP), Canadian Dollar (CAD), Chinese Yuan (CNY), Colombian Peso (COP), Euro (EUR), Indonesian Rupiah (IDR), Nigerian Naira (NGN), Mexican Peso (MXN), Russian Ruble (RUB), Turkish Lira (TRY), United States Dollar (USD) และ Vietnamese Dong (VND).

credit image: Binance

การสมัครใช้งาน Binance ข้อดีมีเหรียญคริปโปทั่วโลกให้เทรดและไม่ต้องทำ KYC เหมือนกับ Digtal Asset Exchange ในประเทศไทยที่ต้องทำตามกฏหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย

การฝากเงินเข้า Binance เพื่อเทรดต้องใช้บัตรเครดิส (Visa/Master Card)

ประเภทกระเป๋าเงินเก็บเหรียญคริปโต (Crypto Digital Asset)

  1. กระเป๋าส่วนตัว เช่น Hardware Wallet, MetaMask
  2. กระเป๋าลงแพลตฟอร์ม ก็คือการเก็บเหรียญไว้กับเจ้าของแพลตฟอร์

แล้ว DeFi คืออะไร?

จากที่เล่ามาจะเป็นเพียงการลงทุนหรือเทรดในเหรียญคริปโตเพียงเท่านั้น (เก็บเงิน / ส่งเงิน / รับเงิน) ถัดไปจะพาไปรู้จักกับ DeFi ว่ามันคืออะไร? มาเพื่อแก้ปัญหาอะไร?

Centralized and Decentralized Ledgers @https://steemit.com/@crypt0k

DeFi (Decentralized Finance) คือบริการทางด้านการเงินในรูปแบบใด ๆ ก็ตามที่ไม่ต้องพึ่งพิงตัวกลาง ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ด้านการเงินที่มีตัวกลาง เช่น การระดมทุน (Fund Raising), การให้กู้ยืม (Lending) เป็นต้น แต่หากนำเทคโนโลยี Blockchain มาปรับใช้ก็จะได้ภาพนี้

Financial product + Blockchain (Smart Contract) = Defi

ความแตกต่างระหว่าง Traditional Finance กับ Defi

การให้บริการด้านการเงินแบบดั่งเดิมคือ ต้องพึ่งพิงตัวกลางและนำมาซึ่งความเชื่อมั่นที่เราให้ความเชื่อมั่นกับสถาบันการเงิน/ธนาคาร (จริง ๆ เคสเงินหาย ถูกขโมยก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง) และสถาบันเงิน/ธนาคารยังมีหน้าที่ควบคุมระงับจำกัดการโอนเงินออกได้

ส่วน Defi ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ จะตัดตัวกลางออกไป เราไม่จำเป็นต้องเชื่อมั่นใครเพียงคนเดียว โดยเงือนไขต่าง ๆ จะเป็นไปตาม Smart Contract ที่เขียนขึ้นกำหนดไว้ตั้งแต่แรกจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ อีกทั้งยังให้อิสระภาพให้ทุกคนสามารถมาเปิดบัญชีโอนเงินเข้า โอนเงินออกได้ และไม่มีใครมา block จำกัดไม่ให้เราโอนเงินออกไปหาบุคคลอื่น ๆ ได้!

Bitcoin ไม่ใช่ Defi

Bitcoin ไม่ใช่แพลตฟอร์มการฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ย และการให้กู้ยืมเงิน Bitcoin เป็น Coin ที่ไม่มี Smart Contract ใด ๆ เป็นเพียงการ เก็บเงิน, ส่งเงิน และ รับเงิน บนเทคโนโลยี Blockchain เท่านั้น

ส่วน Smart Contract มาพร้อมกับระบบ Blockchain ของ Ethereum โดยมีจุดเด่นคือ

Ethereum
  1. สามารถสร้าง Token หรือสกุลเงินดิจิทัสให้มาทำงานบน Ethereum ได้ จึ่งเกิดเป็นเหรียญคริปโตต่าง ๆ อย่างทุกวันนี้
  2. ฟังก์ชั่น Smart Contract โดยเราสามามารถเขียนออกมาในรูปแบบฟังก์ชั่นการฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ยหรือการกู้ยืมเงิน (เหรียญคริปโต) ได้เป็นต้น

แล้ว Project ด้านการเงิน DeFi ที่เกิดขึั้นแล้วมีอะไรบ้าง?

1. Stable Coin การกำหนดมูลค่าเหรียญให้เท่ากับ 1 USD

เช่น Dai ที่เป็น Stable Coin โดยผ่านแพลตฟอร์ม Maker Dao หรือแพลตฟอร์มกู้ยืมเงินอย่าง Maker Dao กับ Compound

2. Lending โอกาสแห่งการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ยุคใหม่

กู้ยืมแบบ “Peer-to-Peer lending” (P2P lending) มีคอนเซ็ปต์ง่าย ๆ คือ การกู้ยืมเงินระหว่างกันโดยตัดตัวกลางอย่างธนาคารออกไป ช่วยให้การเข้าถึงแหล่งเงินง่ายขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพราะระบบจะเชื่อมคนที่มีเหรียญปล่อยกู้กับคนที่ต้องการเงินกู้เข้าหากัน และให้คน 2 กลุ่มนี้กู้ยืมเงินกันเองผ่านแพลตฟอร์มที่เขียน Smart Contract กำหนดไว้แล้ว

MakerDAO แพลตฟอร์มที่ปล่อยเงินกู้ เช่น การเราเอาเหรียญ ETH ไปค้ำประกันแล้วขอเหรียญ Dai ออกมา ดังนั้น MakerDAO เป็นเหมือนธนาคารที่มีหน้าที่ปรับเพิ่มปรับลดเงินกู้ และสินทรัพย์เหรียญแต่ละประเภทสามารถปล่อยกู้ได้มากแค่ไหนตามมูลค่าของสินทรัพย์นั้น ๆ ครับ

ส่วน Compound เป็นแพลตฟอร์มคล้าย ๆ กับ MakerDAO เอาไว้ปล่อยเงินกู้หรือขอเงินกู้ หรือเหรียญคริปโตในตลาดของ Compound ได้ครับ

3. Decentralized Exchange (DEX)

เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตแบบไม่ต้องผ่านตัวกลาง ไม่มีกระเป๋าบนแพลตฟอร์ม เราต้องเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินของตัวเอง เช่น MetaMask crypto wallet (กระเป๋าเงินคริปโตฟรี ๆ)

Security Tokens @altcoinbuzz.io

ซึ่งการซื้อ-ขายคริปโตผ่าน DEX จะดีกว่าเว็บผู้ให้บริการ Exchange ทั่วไปเพราะมีโอกาสที่จะถูก hack ได้ง่ายกว่า อีกอย่าง DEX ไม่ต้องทำ KYC แต่เพื่อให้เป็นไปตามที่ ก.ล.ต ผู้ให้บริการ DEX จึงต้องปฏิบัติตามครับ สมัครเทรดบนแพลตฟอร์ม DEX ได้ที่ KULAP ดูข้อมูลเพิ่มเติม

ตัวโปรเจ๊กต์ที่น่าสนใจก็เช่น 0x (คำสั่งเกิดขึั้นจากภายนอก) และ Kyber Network (คำสั่งการซื้อขายธุรกรรมเกิดขึ้นบน Blockchain ทั้งหมด)

สุดท้ายเรื่องของ DeFi ยังมีโปรเจ๊กต์อื่น ๆ อีกมากมาย และเรื่องของการเทรดบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังมีอะไรให้เราได้ศึกษาอีกมากมาย อันนี้เรายังไม่ไปถึงพวก DApp และ Oracle Network (Chainlink, Band Protocol เป็นตัวกลางระหว่างดึงข้อมูล off-chain และ on-chain สำหรับ DeFi platform) โพสต์บทความนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ผ่านจบนะครับ ^^ ขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนล่ะกัน!

สมัครเทรดบนกระดาษ Satang Pro สมัครสมาชิกที่นี่ Satang Pro และทุกครั้งที่เพื่อนที่คุณชักชวนทำการเทรด จะได้รับ 25% ของค่าธรรมเนียมการเทรดครับ

Scroll to top